3/28/2557

ประวัติย่อ จัตวาลักษณ์ นักเขียนเรื่องแนวลึกลับ สืบสวนสอบสวน และ นิยายวิทยาศาสตร์

จัตวาลักษณ์
จัตวาลักษณ์
(ข้อมูลจากเว็บไซต์นานมีบุ๊คส์)

ประวัติ :
จัตวาลักษณ์ เกิดและเติบโตที่จังหวัดเพชรบุรี จบปริญญาตรีจากคณะรังสีเทคนิคที่มหาวิทยาลัยมหิดลพร้อมกับพบว่าไม่ใช่คู่แท้ของกันและกัน เลยหันไปเรียนต่อปริญญาโทสาขาคอมพิวเตอร์ คณะสถิติประยุกต์ที่นิด้า หลังจากต่อสู้ฟันฝ่ากับการเขียนโปรแกรมและวางระบบคอมพิวเตอร์มานานนับสิบปี ก็สามารถก้าวพ้นกรอบมาได้ดีในปัจจุบัน โดยเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงในสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ซึ่งนอกจากรับผิดชอบงานไอทีที่อยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว ยังต้องดูแลงานปฏิบัติการและงานหลังบ้านเกือบทั้งหมดอีกด้วย คงเหลือแต่ไม้จิ้มฟันกับเรือรบเท่านั้นที่ไม่ต้องไปดูแล

อ่านเชอร์ล็อก โฮล์มจบครบชุดตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่4 ก่อนที่จะหันไปหาหนังสือแนวบทกวีและวรรณกรรมมาอ่านในช่วงเวลาที่กำลังค้นหาตัวเอง หัดเขียนทั้งกลอนเปล่า นิยายเพื่อชีวิต ก่อนที่จะพบว่า เรื่องแนวลึกลับ สืบสวนสอบสวน และ นิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น ที่เหมาะสมกับตัวเอง

นามปากกาจัตวาลักษณ์ ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับเรื่องสั้นแนวเหนือจริงที่ส่งไปให้นิตยสารต่วย’ ตูน พิจารณาเมื่อต้นปี พ.ศ.2544 โดยหยิบยืมมาจากชื่อนวนิยายเรื่องยาวของ เชอร์ล็อก โฮล์ม เรื่องหนึ่งเพราะชอบสำนวนแปลของอ. สายสุวรรณ พร้อมกับอยากจะบอกกับทุกคนให้รู้กันโดยทั่วว่าผมถือกำเนิดขึ้นมาในเชิงหนังสือก็ด้วยบุญคุณของท่านนักแปลผู้นี้โดยไม่ต้องสงสัย

รางวัล :
นานมีบุ๊คส์อะวอร์ด และ รางวัลชมเชยประเภทนวนิยาย หนังสือดีเด่นประจำปี 2551 จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

การตอบรับ :
เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่นวนิยายแนวสืบสวนของไทย กาลมรณะ จากฝีมือการประพันธ์ของ จัตวาลักษณ์ หรือ คุณพรศักดิ์ อุรัจฉัทชัยรัตน์ เข้าตาสำนักพิมพ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ขนาดซื้อลิขสิทธิ์ไปจัดพิมพ์ให้ชาวอาทิตย์อุทัยได้ทึ่งในฝีมือคนไทย

ผลงาน :
กาลมรณะ : Nanmeebooks Award C&M Collection
ปริศนาใต้เงาจันทร์ : รองชนะเลิศอันดับ 2 รางวัล Nanmeebooks Award ปี 53
บ่วงเชือก : รองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัล Nanmeebooks Award ปี 55
กาลมรณะ ผลงาน จัตวาลักษณ์
กาลมรณะ ผลงาน จัตวาลักษณ์

3/27/2557

ประวัติ ภาคินัย กสิรักษ์ เจ้าของนามปากกา "ภาคินัย" นักเขียนดังแห่งยุค

ภาคินัย
ภาคินัย
'ภาคินัย กสิรักษ์' ใช้นามปากกาว่า 'ภาคินัย' กับ 'แอมป์' เป็นคนสุโขทัย ไปเติบโตที่เมืองเพชรบุรี ก่อนจะเข้ามาเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร เป็นคนรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก และเริ่มต้นฝึกฝนความเป็นนักเขียนด้วยการเขียนกลอนวัยรุ่น ต่อเนื่องมาจนถึงเขียนบทความ และได้รวมเล่มเป็นครั้งแรกกับสำนักพิมพ์อักขระบันเทิงเมื่อปี2547 จากนั้นจึงมีผลงานต่อเนื่องเรื่อยมา ทั้งงานประเภทรวมบทความ และนวนิยาย อีกทั้ง ยังเคยมีโอกาสได้ทำงานเขียนบทละครอีกด้วย

ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีนวนิยายที่เขียนได้รับความสนใจนำไปสร้างเป็นละครแล้ว หนึ่งเรื่อง คือ ‘ปมรักรอยอดีต’ ที่ฉายทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

ที่มาของนามปากกาภาคินัย
ไม่มีที่มา(ออกแนวไม่ใช้ความคิด) เพราะมันก็คือชื่อจริงกับชื่อเล่น ถ้าใช้ชื่อว่า แพทริค หรือ คิมแรวอน ก็จะดูหล่อเข้ากับหน้าตาเกินไป เลยพยายามหาชื่อกลางๆ ไว้เพื่อให้คนอ่านไม่หมั่นไส้

** ที่มาของการเป็นนักเขียนของภาคิยัย **
อันที่จริงก็ชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ แต่มาเริ่มแบบจริงจังออกเป็นเล่มเป็นเรื่องเป็นราวก็ตอนเรียนจบแล้วครับ โดยการชักจูงของพี่ต้อง(บ.ก.) ตั้งแต่สมัยอักขระบันเทิงยังเปิดใหม่ๆ นับว่าภาคินัยเป็นนักเขียนรุ่นดึกดำบรรพ์เลยทีเดียว

** งานเขียนกับตัวจริง...แตกต่างกันไหม ? **
ถ้าเรื่องไหนพระเอกหล่อ - -ตรงกับตัวจริง ถ้าพระเอกไม่หล่อ -- ไม่ตรงกับตัวจริงครับ

** คุณสมบัติที่ดีของนักเขียนจากมุมมองของภาคินัย **
ไม่ลอก ไม่หยิ่ง ไม่เวอร์ ไม่อวด และ...ไม่เลทเมื่อถึงเวลาต้องส่งต้นฉบับครับ(ข้อหลังทำยากมาก)

** ฝากถึง... **
ฝากถึงคนอ่าน - - ติดตามอ่านกันต่อไปนะครับ เพราะมีคุณจึงมีเราครับ ฝากถึงคนอยากเขียน - -เก็บคำว่า 'อยาก' ทิ้งลงถังขยะ แล้วเริ่ม 'ลงมือ' ก่อนจะสายไปครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . .. . .

ผลงานที่ผ่านมาของ 'ภาคินัย'
รวมบทความของสำนักพิมพ์อักขระบันเทิง
ความรักกัดขา(วันที่หมาติดปาก)
ไข้หวัดหมา(อาการดัดจริตเป็นโรคติดต่อ)
สุนัขบุรุษ(ที่สุดในโลก)
เมื่อไหร่เธอกับฉันจะรวมกันเป็น 'เรา'
รักจัด...กัดเจ็บ
กวนนัก...รักซะ

รวมบทกวีของสำนักพิมพ์ริมทะเล
ฉันอยากได้ความรักจากใครสักคน
คนรักที่เธอไม่ต้องการ...คือฉันที่ทรมานเพราะรักเธอ
นวนิยายของสำนักพิมพ์ Hug Publishing
31วันมหัศจรรย์รักรสมะนาว
ถึงนายจอมซ่าส์...แบบว่ารักจัง
สูตรรักสลับวัย...หัวใจสลับรุ่น

นวนิยายของสำนักพิมพ์อักขระบันเทิง
Post love พัดโบกกับของขวัญ ณ วันรักคืนใจ

นวนิยายของสำนักพิมพ์ Sofa Publishing
ปมรักรอยอดีต
นางชฎา
The shoes ...รองเท้าอาถรรพ์
Lift ลิฟต์ซ่อนศพ
โรงมหรศพ
The Dome เคหาสน์สาปสยอง
WARD ห้องคลอดมรณะ
Mirror กระจกสั่งตาย
Haunted อาถรรพ์เรือนลั่นทม
Apartment อพาร์ตเมนต์ชั้น 9 ห้องเช่าเขย่าขวัญ (รวมนักเขียน)
Theater ตีตั๋วไปตาย
Stairs 12 ขั้น...บันไดผี
Reallity ท้าคนเป็นเห็นคนตาย
Holy ศพ-เซ่น-ศาล
Bunraku บันรากุ...หน้ากากฆาตกรรม
Porcelain พอร์ซเลน...ตุ๊กตาฆาตกรรม
Apsara สาปอัปสรา
Dreamland สวนสนุก...แดนนรก
Wedding น้ำสังข์อาบศพ
Museum พิพิธภัณฑ์หุ่น-หั่น-หัว
ซินเดอเรลล่ารองเท้าแตะ
Grave บ้านพญาสัตบรรณ
Touch ต่อตัดสัมผัสผวา
Diet ขนมผสมศพ
Sleep หลับ-เป็น-ตาย
ร้ายชิงรัก
Cage หอสังหาร
สูตรหวานจานรัก
Kill ร่วมห้องต้องฆ่า
Neighbor บ้านข้างโลงเคียง
ภาคินัย กับนักอ่าน

3/26/2557

เรืองเดช จันทรคีรี กล่าวถึง วิสิทธิ์ โพ นักเขียนรหัสคดีคนแรก

วิสิทธิ์ โพ
วิสิทธิ์ โพ

เรืองเดช จันทรคีรี กล่าวถึง วิสิทธิ์ โพ นักเขียนรหัสคดีคนแรก

(คัดลอกจาก เฟชบุก ของ เรืองเดช จันทรคีรี)
'ดอนเกลอ' เป็นนวนิยายรหัสคดีเรื่องแรกที่มีชื่อ "วิสิทธิ์ โพ" ปรากฏบนหน้าปก นวนิยายรหัสคดี 6 เรื่องของเขาก่อนหน้านี้ยังใช้นามสกุล "โพธิวัฒน์" เต็มๆ
การที่วิสิทธิ์ โพธิวัฒน์กลายเป็นวิสิทธิ์ โพ ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ไปถึงเรื่อง Brand Revitalization หรือ Brand Awareness ทางธุรกิจให้มากความกว่าการนำตัวนักเขียนคนหนึ่งไปผูกพันเป็นทายาททางวรรณกรรมของบิดาแห่งรหัสคดี--เอ๊ดการ์ แอลแลน โพ ด้วยความกตัญญูรู้คุณและให้เกียรติ มิใช่บังอาจ

ผมเป็นคนเสนอความคิดนี้กับเขาด้วยเห็นว่าเขาเป็นนักเขียนวรรณกรรมตระกูลรหัสคดีเต็มตัวของไทยเพียงคนเดียวในปัจจุบัน และแม้นึกย้อนลำดับกลับไปเป็นร้อยปีผมก็ไม่อาจจัดให้นักเขียนไทยคนใดเป็นนักเขียนรหัสคดีแท้ๆได้ นี่อาจเป็นความโชคดีของวิสิทธิ์ โพที่เขายังสร้างผลงานออกมาน้อยและไม่ได้เขียนวรรณกรรมตระกูลอื่นนอกเหนือจากรหัสคดี ผมจึงได้สรุปเช่นนั้น แต่จากการทำหน้าที่บรรณาธิการ 'ดอนเกลอ' ผมยิ่งมั่นใจว่าหากเขาคิดจะก้าวหน้าไกลบนถนนสายนักเขียน เขาก็คงต้องยึดถือขนบของรหัสคดีให้มั่นคงต่อไป
แน่นอน รูปแบบวิธีการใหม่ๆต้องประยุกต์เข้ากับขนบดั้งเดิมที่เอ๊ดการ์ โพได้วางรากฐาน แต่เหนืออื่นใด รหัสคดีของวิสิทธิ์ โพจะโดดเด่ดขึ้นได้ย่อมชี้ขาดตัดสินกันที่สารัตถะของเรื่อง
ดอนเกลอ ผลงานของ วิสิทธิ์ โพ
ดอนเกลอ ผลงานของ วิสิทธิ์ โพ

รหัสคดีเหมือนภาชนะใบหนึ่ง จะเลือกเนื้อหาแนวใดใส่ลงไปก็ได้ ใส่ศาสนา ใส่ปรัชญา ใส่วิทยาศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ลงไปได้ทั้งนั้น จะใส่เนื้อหาการเมืองแบบสังคมนิยมก็ได้ และเขียนให้เป็นวรรณกรรมระดับโลกได้ด้วย
แม้รูปแบบมีขนบบังคับ แต่ขอบเขตเนื้อหาของนิยายสืบสวนทำได้กว้างขวางไม่รู้จบ สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรจะยกระดับผลงานให้ผู้อ่านได้รับความจรรโลงใจไปพร้อมกับจรรโลงความคิด ได้สิ่งที่เป็นคุณค่ามากขึ้น ไม่ใช่ได้เพียงความตื่นเต้นเร้าใจซึ่งเป็นสิ่งที่จำต้องมีอยู่แล้วในนิยายสืบสวน
นวนิยายรหัสคดี 6 เรื่องของวิสิทธิ์ โพก่อนหน้านี้คือหลักฐานบนเส้นทางการพยายามสร้างสมดุลระหว่างเนื้อหาสาระกับความบันเทิง พัฒนามาจนกระทั่งลงตัวยิ่งขึ้นใน 'ดอนเกลอ'
นี่คือรหัสคดีสะท้อนปัญหาสังคมไทยที่เขียนยากและยากจะหาใครเขียน

--เรืองเดช จันทรคีรี
บรรณาธิการสำนักพิมพ์รหัสคดี
เรืองเดช จันทรคีรี
เรืองเดช จันทรคีรี

3/25/2557

แนะนำนิยายเรื่อง“พญานาค”เขียนโดย “นฤชา เหมือนใจงาม” เนื้อหาสดใส โดยนักเขียนไฟแรง



นฤชา เหมือนใจงาม
นฤชา เหมือนใจงาม
แนะนำนิยายเรื่อง“พญานาค”เขียนโดย “นฤชา เหมือนใจงาม” เนื้อหาสดใส โดยนักเขียนไฟแรง

ย้อนไปเมื่อ 15 ปีก่อน ผมชื่นชอบนิยายเรื่อง “แม่โขง”เขียนโดย ปองพล อดิเรกสาร ทำให้ทั้งที่ไม่ค่อยจะมีรายได้เป็นของตัวเองแต่ก็เก็บเงินซื้อมาอ่านจนได้ และต่อมาทำให้ผมเห็นหนังสือเล่มใดที่กล่าวถึงแม่น้ำโขงไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสารคดี เรื่องสั้น นิยาย ทำให้ผมสนใจเรื่อยมากระทั่งหนังสือเล่มล่าสุด เป็นนิยายเล่มหนาเรื่อง “พญานาค”เขียนโดยนักเขียนรุ่นใหม่ไฟแรงนาม “นฤชา เหมือนใจงาม”

ครั้งแรกที่ผมเห็นหนังสือเล่มนี้วางอยู่บนชั้นร้านหนังสือชื่อดังก็ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะต้องหยิบขึ้นมาชมแม้ยังไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้จะใช้รูปแบบใดในการนำเสนอเพราะชื่อเรื่องก็โดนใจอย่างแรง และเมื่อพลิกดูและคราวๆก็ทำให้ผมหนีบหนังสือไว้ในรักแร้อย่างไม่ต้องคิดมาก และนำออกมาจากร้านค้าทั้งที่เพิ่งเห็นเป็นวันแรก ความรู้สึกเช่นว่านี้เกิดขึ้นกับผมเสมอเมื่อเห็นหนังสือถูกชะตา

เมื่อนำหนังสือ “พญานาค”เขียนโดย “นฤชา เหมือนใจงาม” กลับบ้านผมก็นำเข้าสู่สถานที่แห่งจินตนาการที่มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าถึงสถานที่อย่างว่านี้พร้อมกับกาแฟร้อนหวานน้อย ใส่เพียงน้ำตาลรสขมเพื่อให้อยู่กับหนังสือเล่มนี้ให้ยาวนานที่สุดเพราะผมรู้ดีว่าหนังสือนิยายทุกเล่มที่ผ่านตามผมมาหลายร้อยเล่มคนอ่านต้องผ่านช่วงแรกไปให้ได้ จากนั้นนิยายจะทำหน้าที่ไปจนจบ
หนังสือพญานาค เขียนโดย นฤชา เหมือนใจงาม
หนังสือพญานาค เขียนโดย นฤชา เหมือนใจงาม
“พญานาค” เขียนโดย “นฤชา เหมือนใจงาม”ก็ไม่ต่างจากหนังสือนิยายเล่มก่อนๆ ที่ผมเคยอ่านมา แม้รูปแบบการนำเสนอจะค่อนข้างแปลกใหม่แต่ด้วยประสบการณ์ในเรื่องอ่านหนังสือของผมมีค่อนข้างมากจึงเตรียมใจรับกับทุกสถานการณ์ของนักเขียน ที่จะมีลูกเล่นต้อนหนังอ่านให้จนมุมเพื่อจะสร้างความน่าสนใจให้คนอ่าน ถือเป็นความพยายามของนักเขียนที่น่ายกย่องและชื่นชมถึงความทุ่มเทดังกล่าว

“พญานาค” เขียนโดย “นฤชา เหมือนใจงาม”เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ของรูปแบบนิยาย แม้จะเป็นผลงานในอันดับต้นๆ ของนักเขียนแต่ก็เต็มไปด้วยพลังของการสร้างสรรค์เหมาะสำหรับนักอ่านที่ต้องการความแปลกใหม่ในเรื่องเนื้อหาและวิธีการนำเสนอเพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในนิยายเรื่องนี้และสิ่งที่สร้างความโดดเด่นคือ ความสดใหม่ในเรื่องการนำเสนอแม้เนื้อเรื่องจะเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อดั้งเดิมแบบโบราณกาลแต่ก็นำมาปรุงแต่งให้เข้ากับยุคสมัยยิ่งขึ้น

“พญานาค” เขียนโดย “นฤชา เหมือนใจงาม”จะพาผู้อ่านเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ เหมือนกับที่ผมไปถึงจุดสุดยอดของอารมณ์มาแล้วยอมรับว่านักเขียนตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะหนังสือเล่มหนาขนาดนี้ หากไม่เอาใจใส่ในเนื้อหาและวิธีนำเสนอรับรองว่าล้มเหลวแน่นอน แต่สำหรับ “พญานาค”เขียนโดย “นฤชา เหมือนใจงาม”ถือว่าเป็นหนังสือนิยายอ่านสนุกเล่มหนึ่งในชีวิตการอ่านของผม

ปล. “พญานาค”เขียนโดย “นฤชา เหมือนใจงาม” สำนักพิมพ์นานมี ราคา 265 บาท หนา 416 หน้า


เรื่องย่อ

ภาคภูมิ ภาคภพได้รับการว่าจ้างให้ถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคแต่ไม่นานเขาก็ได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องบังหน้า ความสนใจของนายจ้างชาวอเมริกันผู้มาพร้อมเครื่องมือล้ำยุคไม่ได้อยู่ที่ลูกไฟในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดของทุกปี หากแต่อยู่ที่การเสาะหาตัวพญานาคผู้อาศัยอยู่ในลำน้ำนั้นทว่าเมื่อวิทยาศาสตร์ไม่อาจทำหน้าที่ของมันได้ลุล่วง อำนาจแห่งธรรมชาติจึงได้เวลาทวงคืน...ด้วยชีวิต!

แนะนำนักเขียน

นฤชา เหมือนใจงาม นักเขียนรางวัลชนะเลิศนานมีบุ๊คส์อะวอร์ดเจ้าของผลงานนวนิยายสืบสวนสอบสวน "สัตยาบันเลือด"ใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียนตั้งแต่เด็ก จึงเลือกเรียนสาขาวารสารศาสตร์แต่หันเหไปทำงานด้านอื่นหลายอย่าง แม้จะล้มมาหลายครั้งก็ยังไม่ยอมแพ้มุ่งมั่นตั้งปณิธานว่าจะเอาดีด้านการเขียนให้ได้

3/24/2557

สำนักพิมพ์ตะวันส่องจัดประกวดเรื่องสั้นแนวระทึกขวัญตะวันส่องอะวอร์ด ครั้งที่ 8

ตะวันส่องอะวอร์ด ครั้งที่ 8
ตะวันส่องอะวอร์ด ครั้งที่ 8
สำนักพิมพ์ตะวันส่องจัดประกวดเรื่องสั้นแนวระทึกขวัญตะวันส่องอะวอร์ด ครั้งที่ 8
โอกาสที่นักเขียนทุกคน ไม่ว่ารุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ห้ามพลาด

หัวข้อที่ใช้ในการประกวดคือ ซ่อน (Hide)

กติกา
1.เป็นเรื่องสั้นที่แต่งขึ้นมาใหม่ โดยให้มีเนื้อหาแนว ระทึกขวัญและให้มีความสอดคล้องกับหัวข้อที่ตั้งไว้
2.ผลงานที่ส่งจะต้องใช้ภาษาไทย ตัวอักษร Cordai ขนาดตัวหนังสือ14 พอยท์ ความยาว 10-15 หน้ากระดาษ A4
3.ทุกผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องไม่เคยได้รับการตีพิมพ์มาก่อนและต้องไม่ลอกเลียน ดัดแปลง แปลมาจากผู้อื่น หากมีการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญาขึ้นผู้ส่งผลงานต้องรับผิดชอบเพียงผู้เดียว
4.ส่งผลงาน (ที่ปริ๊นท์ออกมาแล้ว) ซีดีที่บันทึกไฟล์ผลงานสำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรนักเรียนพร้อมเซนรับรองลำเนาถูกต้องจำนวน 1 ชุดและใบสมัคร (สามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.tawan-song.com)

รางวัล
รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 8,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1เงินรางวัล 5,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2เงินรางวัล 3,000 บาท
รางวัลชมเชยประเภทพล็อตเรื่องยอดเยี่ยม เงินรางวัล 2,000 บาท
รางวัลชมเชยประเภทการใช้ภาษายอดเยี่ยม เงินรางวัล 2,000 บาท
รางวัลชมเชยประเภทระทึกขวัญยอดเยี่ยม เงินรางวัล 2,000 บาท
รางวัลงานเขียนเยาวชนดีเด่น เงินรางวัล 1,000 บาท
รางวัลขวัญใจกองบรรณาธิการ เงินรางวัล 1,000 บาท

ผลงานที่ได้รับรางวัลจะได้รับใบประกาศนียบัตร
และได้รับการพิจารณารวมเล่มตีพิมพ์ในนามของสำนักพิมพ์ตะวันส่อง

กำหนดส่งผลงานภายในวันที่ 31ธันวาคม 2557 โดยนับเอาวันประทับตราไปรษณีย์เป็นสำคัญ

ประกาศผลวันที่ 1 มีนาคม 2558ทางเว็บไซต์สำนักพิมพ์ www.tawan-song.com และทางเฟชบุ๊ก www.facebook.com/TawansongPublishing

ส่งผลงานของคุณได้ที่ 20 ถ.กรุงเทพกรีฑา สะพานสูงกรุงเทพฯ 10250
โทรศัพท์ 0-2736-0227 อีเมล tawansong007@yahoo.com

ตัวอย่างใบสมัคร ตะวันส่องอะวอร์ด ครั้งที่ 8
ตัวอย่างใบสมัคร ตะวันส่องอะวอร์ด ครั้งที่ 8
สามารถดาวน์โหลดฟรี ได้ที่ http://www.tawan-song.com/index.php?mo=21&detail&fid=143424&catid=8457

หรือ

http://www.mediafire.com/download/54iz4js8g44b2yn/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94+%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+8.pdf

3/20/2557

ตรี อภิรุม นักเขียนผีนามอุโฆษแห่งสยามประเทศ

ตรี อภิรุม
ตรี อภิรุม
ตรี อภิรุม นักเขียนผีนามอุโฆษแห่งสยามประเทศ

ตรี อภิรุม เป็นนามปากกาของ เทพ ชุมสาย ณ อยุธยา และเขาคือนักเขียนเรื่องแนวลึกลับ สยองขวัญ วิญญาณ พลังอำนาจเร้นลับ ตรี อภิรุม เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2473 ในอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ด้วยความที่คุณแม่เป็นครู จึงได้รับการปลูกฝังให้มีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก พอเติบโตก็เริ่มขีดเขียน และส่งเรื่องเข้าประกวดตามสนามต่างๆ จนก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักเขียนอาชีพ กระทั่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักอ่านทั่วประเทศ อมตะนิยายเรื่องแก้วขนเหล็ก ถือเป็นหนึ่งในผลงานโด่งดังที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ตรี อภิรุม และผลงานหลายเรื่องของเขายังคงได้รับความนิยมเรื่อยมาถึงปัจจุบัน มีนักอ่านรุ่นแล้วรุ่นเล่าหยิบผลงานของ ตรี อภิรุม ขึ้นอ่านเสมอ

นักอ่านรุ่นเก๋าคงรู้จัก ตรี อภิรุม เป็นอย่างดี โดยเฉพาะแฟนพันธุ์แท้ของนิตยสารบางกอก คงคุ้นเคยนักเขียนชื่อนี้กันถ้วนหน้า เพราะตั้งแต่อมตะนิยายเรื่องแก้วขนเหล็กตีพิมพ์ในนิตยสารบางกอก ชื่อเสียงของ ตรี อภิรุม ก็ดังค้างฟ้ามากระทั่งทุกวันนี้ และมีผลงานเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในนิตยสารบางกอกและอีกหลายฉบับ ผลงานหลายเรื่องของ ตรี อภิรุม ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอมตะนิยายอยู่คู่บรรณาพิภพไทย เห็นได้จากนิตยสารบางกอกนำนิยายของตรี อภิรุม ที่เคยตีพิมพ์ในอดีต เอามาปัดฝุ่นเผยแพร่ซ้ำอีกหลายครั้งตามคำเรียกร้องของนักอ่าน แสดงให้เห็นว่านิยายของ ตรี อภิรุม อยู่เหนือกาลเวลาเป็นที่ชื่นชอบสำหรับนักอ่านทุกเพศทุกวัยและทุกสมัย

ในอดีต อมตะนิยายเรื่องแก้วขนเหล็ก ของตรี อภิรุม ได้รับดัดแปลงเป็นบทวิทยุ บทภาพยนตร์ และบทละครโทรทัศน์ หลายครั้งต่อหลายครั้ง แม้นิยายของ ตรี อภิรุม จะถูกถ่ายทอดในรูปแบบใด ก็สร้างความสยองขวัญให้คนดูคนฟังเสมอ แสดงให้เห็นว่าผลงานของ ตรี อภิรุม ประกอบขึ้นจากโครงเรื่องที่โดนใจนักอ่าน แน่นอนว่า ตรี อภิรุม ย่อมเป็นนักเขียนที่ทำงานละเอียดลออ และมีความรับผิดชอบสูง เขาสามารถเอาชนะใจนักอ่านได้อย่างที่นักเขียนอื่นยากยิ่งจะทำได้เหมือน ผู้ที่จะยืนยันเหตุผลข้อนี้ได้ก็คงเป็นนักอ่านทุกคนที่ชื่นชอบนิยายของ ตรี อภิรุม นั่นเอง

ตรี อภิรุม และผลงาน
เหตุผลที่ทำให้ ตรี อภิรุม ได้รับยกย่องเป็นนักเขียนยอดนิยมสำหรับนักอ่านทุกยุคทุกสมัย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากผลงานทุกเล่มของเขา จัดอยู่ในประเภทนิยายชั้นดี ชวนอ่าน แน่นอนว่าความสำเร็จของ ตรี อภิรุม ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความมุมานะนานหลายปี คงเป็นเหมือนนักเขียนอมตะท่านอื่น กว่าแต่ละท่านจะสร้างชื่อเสียงและเขียนนิยายโดนใจนักอ่านสำเร็จ ย่อมใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ในอดีต กว่านักเขียนแต่ละท่านจะมีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ต่อสาธารณะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนิตยสารมีอยู่อย่างจำกัด ผิดกับสมัยปัจจุบันที่นักเขียนรุ่นใหม่สามารถเผยแพร่ผลงานได้ในอินเตอร์เน็ต โดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยพื้นที่ในนิตยสารเหมือนอดีต

ตรี อภิรุม เป็นนักเขียนยุคเริ่มต้นที่พิสูจน์ถึงความสำเร็จในอาชีพนักเขียน เพราะสมัยก่อนเมื่อพูดถึงอาชีพนักเขียนดูเหมือนจะหมิ่นเหม่ถูกคนมองไปในทางอดอยากปากแห้ง จนมีคำพูดติดปากทำนองว่า “นักประพันธ์ไส้แห้ง” และวลีนี้เองที่เป็นเหมือนป้อมปราการกีดกั้นผู้ต้องการก้าวเดินบนเส้นทางนักเขียน แต่ ตรี อภิรุม ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า อาชีพนักเขียนสามารถเกิดขึ้นได้ในเมืองไทย ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่ต้องการเดินบนเส้นทางนักเขียนต้องทำงานอย่างหนักและจริงจังเท่านั้น จึงจะประสบความสำเร็จสมดั่งใจปรารถนา

อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์บางคนมองงานยุคแรกของ ตรี อภิรุม ได้รับอิทธิพลมาจากนิยายทางฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะอมตะนิยายเรื่องแก้วขนเหล็กที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ตรี อภิรุม ก็คลับคล้าย Dracula ของ Bram Stroken ทั้งนี้ทั้งนั้น หากพิจารณาอย่างไร้อคติแล้ว นับเป็นความสามารถของ ตรี อภิรุม ที่นำเอาแก่นเรื่องของอีกวัฒนธรรมหนึ่ง มาดัดแปลงจนลงตัวให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย นับเป็นอัจฉริยะทางจินตนาการของ ตรี อภิรุม ไม่เฉพาะ ตรี อภิรุม ที่ถูกมองจากนักวิจารณ์เช่นนี้ แม้แต่ พนมเทียน นักเขียนชื่อเสียงโด่งดังเจ้าของผลงานนิยายอมตะเรื่อง เพชรพระอุมา ก็ถูกมองเช่นเดียวกัน

หากศึกษาผลงานหลายเรื่องของ ตรี อภิรุม ทำให้ทราบว่า เขามีประสบการณ์ทางด้านภาษาค่อนข้างมาก ตรงกับนิสัยรักการอ่านเมื่อสมัยเด็กของเขา นิยายของ ตรี อภิรุม เต็มไปด้วยจินตนาการลุ่มลึกเหนือความคาดหมาย แต่ก็ไม่หลุดลอยไปจากสังคมไทยมากนัก เห็นได้จากนักอ่านแฟนพันธุ์แท้ของ ตรี อภิรุม มีอยู่ทุกชนชั้นวรรณะ ไม่จำกัดเพศวัยและระดับการศึกษา แน่นอนว่ามีนักเขียนไม่มากนักที่สร้างผลงานเข้าถึงจิตใจนักอ่านได้ครอบคลุมเพียงนี้ ความสำเร็จของ ตรี อภิรุม ย่อมน่าสนใจสำหรับผู้ต้องการเดินตามรอยของเขา

เนื่องจากงานเขียนส่วนใหญ่ของ ตรี อภิรุม ใช้จิตนาการเป็นหลัก ดังนั้นนักอ่านที่จะเข้าถึงผลงานของเขาต้องอาศัยจินตนาการด้วยเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นก็อาจทำให้เกิดความฉงนหรือสับสนในการสื่อความหมาย ยิ่งไปกว่านั้น งานเขียนของ ตรี อภิรุม เป็นจินตนิยายแนวสยองขวัญ ทำให้นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่กล้าหยิบผลงานของเขามาวิพากษ์วิจารณ์ เหตุผลนี้เองทำให้สังคมไทยจัดระดับนิยายของ ตรี อภิรุม อยู่ในอีกชั้นหนึ่งต่างหาก แน่นอนว่า มีเพียงนักวิจารณ์กลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่มองเช่นนี้ เพราะแท้จริงแล้วยังมีนักอ่านตัวจริงที่ติดตามผลงานของ ตรี อภิรุม เสมอมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และนักอ่านดังกล่าวก็มีจำนวนมากพอที่จะทำให้ผลงานของ ตรี อภิรุม ไม่เคยห่างหายไปจากตลาดหนังสือเมืองไทย

หมายเหตุ: แก้วขนเหล็ก เป็นชื่อเรียกแหวนโป่งข่ามที่เจียระไนจากแร่เขี้ยวหนุมาน ผ่านการปลุกเสกในวันเพ็ญเดือนหก เชื่อว่าจะทำให้ผู้สวมแหวนนั้นมีพลังลมปราณแกร่งกล้า คลาดแคล้วจากภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งภูตผีก็แพ้พ่าย

ตัวอย่างงานเขียนบางเล่มของ ตรี อภิรุม

จอมเมฆินทร์ คฤหาสน์นางหงส์ เล่ห์ซาตาน บัญชากับฝาแฝด ตุ๊กตาโรงงาน ทายาทอสูร แก้วขนเหล็ก พระเอกอมตะ เขี้ยวขอ คนอสรพิษ แหวนสวาท ลูกสาวซาตาน นางพญาอสรพิษ (ภาคต่อของ ลูกสาวซาตาน) จินตวาณี สัมภเวสี (ภาคต่อของ จินตวาณี ) ภูตพยัคฆ์ นาคี ภุมรินทร์เพื่อนรัก เศียรมาร พรแปดประการ เมืองเนรมิต สัมผัสที่หก เจ้าสาวจระเข้ เทพบุตรเที่ยงคืน กายทิพย์ มิติที่สาม อนิลทิตา ปิศาจหรรษา พรแปดประการ มฤตยูผยอง ศึกเสน่หา คัมภีร์ผีภูเขา บาดาลดิน สายพันธุ์พยัคฆ์ เทพบุตรสุดเวหา

จินตวีร์ วิวัธน์ ราชินีนักเขียนผีแห่งสยามประเทศ

จินตวีร์ วิวัธน์
จินตวีร์ วิวัธน์ ราชินีนักเขียนผีแห่งสยามประเทศ

จินตวีร์ วิวัธน์ เป็นนามปากกาของจินตนา ปิ่นเฉลียว เธอเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด แต่ต้องระหกระเหินไปเรียนหนังสือและอาศัยอยู่กับพี่สาว (คนละแม่) ที่จังหวัดลำปาง จบมัธยมปีที่ 6 จากนั้นค่อยมาเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ จินตวีร์ วิวัธน์เล่าภูมิหลังของตนไว้ว่า “จากบ้านที่รองเมืองมาโรงเรียนเตรียมก็นั่งรถรางมาชั้นธรรม 10 สตางค์ ชั้นพิเศษมีเบาะ 20 สตางค์ แต่ก่อนไปไหนสะดวกรถราไม่มากเหมือนสมัยนี้ ในกรุงเทพฯนี่มีคนราวแสนกว่าๆ (ประมาณ พ.ศ.2500) สอบเข้าเรียนคู่แข่งมีแค่ 1 ต่อ 10 เราก็เข้าเรียนได้อย่างที่เรียกว่าหืดไม่ขึ้นคอนัก”

สิ่งดลใจทำให้ จินตวีร์ วิวัธน์ เข้าสู่โลกหนังสือเพราะได้รับอิทธิพลกาพย์กลอนของพ่อ เธอสนใจเรื่องนี้สมัยเรียนชั้น ป.2-ป.3 สมัยนั้น จินตวีร์ วิวัธน์เริ่มหัดเขียนกลอนตามประสาเด็ก ครั้นเอาไปให้พี่ชาย (วาทิน ปิ่นเฉลี่ยว ผู้ก่อตั้งนิตยสารต่วย’ตูน) ดูก็ถูกหัวเราะเยาะจนเขิน แต่พี่ชายและพ่อก็ช่วยกันแนะนำแก้ไขให้บ้าง

จินตวีร์ วิวัธน์เขียนกลอนมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงชั้นมัธยมจึงเริ่มมีผลงานลงในนิตยสารชัยพฤกษ์ สารเสรี และดรุณสาร สมัยนั้นเธอชอบอ่านบทกวีของกุลทรัพย์ รุ่งฤดี นนท์ นิรันดร และนายผี โดยเฉพาะบทกวี “อีสาน” ของนายผีประทับใจเป็นอย่างมาก ทำให้เธอหันมาสนใจเขียนบทกวีในแนวสะท้อนสังคมหรือแนวเพื่อชีวิต

เมื่อเข้าเรียนเตรียมอุดมฯ จินตวีร์ วิวัธน์เขียนบทกวีจริงจังขึ้น ส่งไปลงสนามนิตยสารสยามสมัยซึ่งเป็นนิตยสารที่เฟื่องฟูในยุคนั้น ผู้ควบคุมตรวจบทกวีคือ แสงทอง (หลวงบุณยมานพพานิช) จินตวีร์ วิวัธน์ทบทวนความหลังเอาไว้ว่า “ท่านแก้ไขให้ ส่งกลับคืนมา บอกว่ากลอนของคุณให้ได้ แต่ว่าควรที่จะต้องแก้ไขบ้าง ขอให้ดูตามที่ผมแก้ให้นี่เป็นแนวทาง”

จินตวีร์ วิวัธน์ ได้รับการฝึกฝนเรื่องสำนวนภาษากับแสงทอง จนเธอยกให้ท่านเป็นครูคนแรกและคนเดียวในชีวิตการเขียนกลอน ในวัยสาว จินตวีร์ วิวัธน์เขียนบทกวีเสียดสีสะท้อนสังคมได้คมคายไม่แพ้ใครแต่พอแก่ตัวลงเธอสารภาพว่า “รู้สึกทรรศนะคติจะเปลี่ยน ไฟคงมอดเชื้อเคยร้อนรนก็มาเย็นลง เปลี่ยนแนวเขียนเป็นเชิงเรียบๆหน่อย เช่น นิราศพระอาราม ศรีจุฬาลักษณ์”

ต่อมาจินตวีร์ วิวัธน์ก็วางปากกาเขียนบทกวี เหลืออยู่เพียงการรจนาบทอศิรวาทตามหน้านิตยสารอย่าง กานดา และ ต่วย’ตูน เท่านั้น ผลงานสมัยที่จินตวีร์ วิวัธน์เขียนกลอนเคยได้รับได้รับรางวัลประกวดร้อยกรองของมูลนิธิจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ 2 ปีซ้อน (2515 และ 2516) จากผลงานกวี นิราศอาราม และอยุธยาวสาน ตามลำดับ นอกจากนี้ร้อยกรองประเภทโคลงเรื่อง ศรีจุฬาลักษณ์ ยังชนะเลิศรางวัลดีเด่นในการประกวดหนังสือประเภทบทกวีที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2524

ในขณะที่ผลงานกลอนค่อยห่างจางไปจากหน้ากระดาษ แต่ชื่อเสียงของ จินตวีร์ วิวัธน์ กลับปรากฏหน้าตาขึ้นในนวนิยายแนวลึกลับและสยองขวัญ เริ่มตั้งแต่นวนิยายเรื่องแรกในนามปากกานี้ได้รับการตีพิมพ์เมื่อปลายปี 2517 ในนิตยสารจักรวาล ซึ่งมีประสิทธิ ศิริบรรเทิง เป็นบรรณาธิการ เรื่องต่อๆมาไม่ว่า มายาพิศวาส หรือ สาบนรสิงห์ ซึ่งเป็นแนวลึกลับแบบเดียวกัน ได้รับการต้อนรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดี กระทั่งชื่อเสียง จินตวีร์ วิวัธน์กลายเป็นนักเขียนยอดนิยมอีกคนหนึ่งในสมัยนั้น

เมื่อย้อนกลับไปดูเส้นทางการเขียนหนังสือในแนวร้อยแก้วของจินตวีร์ วิวัธน์ จะพบว่าเธอเริ่มเขียนเรื่องสั้นมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เรื่องสั้นแรกชื่อ “บานเย็น” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ (ออกประมาณปี 2495) ได้ค่าตอบแทนมา 30 บาท แต่ที่ยังเป็นความภูมิใจจนถึงบัดนี้ก็คือ ขณะเรียนอยู่ปี 2 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เธอเขียนเรื่องสั้นแนวลึกลับชื่อ “ยังไม่เสื่อมเสียงมนต์” ส่งไปประกวดได้รับรางวัลโบสีฟ้าของนิตยสารสยามสมัย นับเป็นหน่อแรกสุดของการเริ่มต้นเขียนเรื่องแนวลึกลับอันฝังลึกอยู่ใต้จิตสำนึกมาตั้งแต่สมัยวัยเด็ก

จินตวีร์ วิวัธน์ ได้รับการชักชวนจากพี่ชาย(วาทิน ปิ่นเฉลียว) ให้มาช่วยทำต่วย’ตูนพิเศษ(เล่มใหญ่) หลังจากต่วย’ตูนพ็อกเก็ตบุ๊ค(เล่มเล็ก)ไปได้สวยแล้ว ในตอนต้นปี 2517 โดยนิตยสารเล่มใหญ่เน้นเนื้อหาเรื่องลึกลับเข้ามาเป็นแกนนำ จุดนี้เองที่ทำให้จินตวีร์ วิวัธน์มีโอกาสได้ค้นคว้าเรื่องลึกลับและสยองขวัญอย่างเต็มที่ โดยเธอยอมลาออกจากงานราชการอันมั่นคง เพื่อมาทำงานเขียนหนังสือที่ตนเองรัก

จินตวีร์ วิวัธน์ สร้างผลงานด้านจินตนิยายเอาไว้มากมาย กระทั่งในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 เธอก็เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัยเพียง 46 ปี ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของวงการนิยายสยองขวัญ เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมาก็เรียกได้ว่ายังไม่มีนักเขียนหญิงคนใดสามารถก้าวขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งราชินีนิยายสยองขวัญผู้นี้ได้อีกเลยแม้แต่คนเดียว

จินตวีร์ วิวัธน์ รำลึกถึงวัยเด็กของตัวเอง

รู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมสำคัญมาก ที่บ้านมีหนังสือเยอะแยะ พ่อเป็นนักอ่าน นักกลอน ท่านเขียนบทละครร้องได้ นักแปลแปลงานอย่างท่านก็อ่านกันในหมู่พวกท่าน ไม่ได้เผยแพร่ที่ไหน ท่านชอบเรื่องลึกลับตื่นเต้น แม่ชอบฟังบทกวี วรรณคดีไทยนี่ชอบมาก แม่นะอ่านไม่ค่อยออกหรอก เป็นคนโบราณ พ่อก็มีหน้าที่อ่านให้แม่ฟัง ท่านอ่านดังๆ ลูกสามคนนั่งตาแป๋ว คอยจำใส่หัว พี่น้องสามคนเลยชอบเรื่องลึกลับเหมือนกัน พ่อเป็นช่างไฟฟ้าการรถไฟ พ่อกับแม่รักกันมากเลย นิยายรักของพ่อกับแม่ทำให้พี่น้องสามคนเอามาหากินได้เป็นเรื่องจริง สมัยพ่อเป็นหนุ่มจะไปหาแม่มีแม่น้ำขวาง พ่อต้องว่ายน้ำข้ามมา ก่อนจะถึงบ้านก็มีสิ่งสยองขวัญ มีที่เผาศพกลางแจ้งอันเบ้อเร่อ คนบ้านนอกเขาเผากันกลางแจ้ง พ่อว่ายน้ำมาถึงเชิงตะกอนเพิ่งเผาศพใหม่ๆถ่านคุแดง แต่พ่อไม่กลัวผี พ่อเอาผ้าเปียกคลุมหัว เดินผ่านชาวบ้านที่มากันเป็นกลุ่ม นึกสนุกขึ้นมาเอาผ้าโบก ชาวบ้านวิ่งป่าราบ เราพี่น้องเอาไปเขียนเรื่องสั้นกันสนุก พ่อนะเจ้าบทเจ้ากลอน เคยเขียวค่าวซอ (เพลงยาว) จีบแม่

สมัยนั้นพี่ต่วย(วาทิน ปิ่นเฉลี่ยว เจ้าของหนังสือในเครือต่วย’ตูน)กลัวผีอันดับหนึ่ง ตอนพี่ปกรณ์ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เขาทำผีหลอก พี่ต่วยจับไข้หัวโกร๋นเป็นเดือนเพราะตกใจกลัว พี่ต่วยชอบอ่านเรื่องผีสางมาก ตอนเล็กๆพี่ต่วยเอาหนังสือผีมาพี่เห็นหน้าปกร้องลั่น เราก็กลัวพี่ต่วยเอาไปซ่อนใต้หมอนบ้างอะไรบ้าง แล้วพี่ก็แอบดู แอบเอามาอ่านแล้วก็กลั้วกลัว จำได้ว่าพี่ต่วยพาไปดูหนังเรื่องเดชผีดิบ พอไปถึงหน้าโรงหนังมีหนังแผ่นติดเต็ม ดูหนังแผ่นก็ร้องจ๊ากอีก บอกไม่เอาแล้วกลับบ้านดีกว่า ตอนนั้นอายุราวห้าหรือหกขวบ พี่ต่วยกลัวผีพอๆกับพี่ พี่นี่กลัวที่สุดเลย ไม่เคยมีใครที่กลัวอย่างนี้เลย แต่แปลกอย่างหนึ่งพี่ปกรณ์นี่ชอบอ่านเรื่องผี แกไม่กลัวผีเลย แกไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ พ่อก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่ศึกษาดูว่ามันเป็นอย่างไร ลูกๆก็ได้มรดกมาบ้าง ส่วนความศรัทธาแล้วแต่บุคคล ลูกๆพี่ก็กลัวผี เรื่องกลัวผีนี่เป็นมรดกตกทอด

พี่กล้าพูดได้เลยว่าพี่ต่วยเป็นคนบุกเบิกเรื่องลึกลับตื่นเต้นในนิตยสาร (ต่วย’ตูนพิเศษ) อย่างนี้เป็นคนแรกในทศวรรษที่ผ่านมา อย่างสมัยก่อนเราขุดเรื่องแดรกคูล่า แกเป็นคนบอกให้พี่มาค้นประวัติแดรกคูล่า แกเป็นคนบอกให้พี่มาค้นประวัติแดรกคูล่า เพราะว่าที่จริงมันไม่ใช่ผีดูดเลือดอย่างนี้หรอก มันมีตัวตนจริงๆ พี่ไปค้นหนังสือเสียหน้ามืดไปเลย หนังสือเมืองไทยไม่มี บังเอิญเจ้านายไปนอก ท่านถามว่าอยากได้อะไรบ้างจะซื้อมาฝาก เลยขอประวัติแดรกคูล่า ได้มาจริงๆฮือฮากันใหญ่ ผู้อ่านบอกว่าหาแนวนี้มาลงบ่อยๆ เราก็จับจุดนี้ได้เลยค้นกันใหญ่ มนุษย์หมาป่า แฟรงเก้นสไตน์

ตัวอย่างงานเขียนบางเล่มของ จินตวีร์ วิวัธน์

จุมพิตเพชฌฆาต ใต้เงาปิรามิด แทบหัตถ์เทวี บ้านศิลาทราย ผาโหงพราย พรายพระกาฬ พลังหลอน ภูตพระจันทร์ มณีสวาท มนุษย์ชิ้นส่วน (มฤตยูเขียว ภาค 2) มนุษย์สังเคราะห์ มฤตยูเขียว ม่อนมนต์ดำ มาแต่หิมพานต์ มายาพิศวาส มายาลวง มิติเร้น รวมเรื่องสั้น ขวัญหนี โลก:2599 วังไวกูณฑ์ ศตวรรษสวาท ศีรษะมาร สางสยอง สางสีทอง สาบนรสิงห์ สุสานภูเตศวร เสกอสุรกาย (อุโมงค์มาร ภาค 2) อมฤตาลัย อาถรรพณ์เทวี อาศรมสาง อุโมงค์มาร

3/16/2557

สัมภาษณ์ นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ เจ้าของนามปากกานักเขียนนวนิยาย "พงศกร"

“หมอโอ๊ต-นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ”
“หมอโอ๊ต-นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ”

ละครเกี่ยวกับผีและวิญญาณครองความนิยมมาทุกยุค ทุกสมัย โดยตัวละครผีแต่ละตัวก็มีบุคลิกโดดเด่นน่าจดจำแตกต่างกันไป และถ้าพูดถึงเจ้าพ่อนิยายผียุคใหม่ ที่ผูกพันลึกซึ้งกับตำนานอาถรรพณ์ของผืนผ้าคงต้องยกให้คุณหมอหนุ่มมาดนุ่ม “หมอโอ๊ต-นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ” แอมบาสเดอร์ประจำโครงการ GREEN HEALTH และผู้อำนวยการอาวุโสโครงการพิเศษ “พัฒนาศักยภาพด้านการสื่อสาร” ประจำศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดตัวละครผีโด่งดังที่สุดแห่งยุค ไม่ว่าจะเป็น “เจ้าสีเกด” จาก “สาปภูษา”, “ผีอีเม้ย” จาก “รอยไหม” และล่าสุดกับ “ผีเมย์ลี” จากละครเรื่อง “กี่เพ้า” ซึ่งรับบทโดย “แอน ทองประสม”

ดูเหมือนคุณหมอจะชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับตำนานอาถรรพณ์ของผ้าเป็นพิเศษ

(ยิ้มรับ) “สาปภูษา” เป็นนวนิยายเกี่ยวกับผ้าโบราณเรื่องแรกที่ผมเขียนขึ้น ตอนนั้นผมลงพื้นที่ไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผ้าทอคูบัว ที่จังหวัดราชบุรี ไปพูดคุยกับช่างทอผ้า และทดลองทอผ้าด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถเข้าถึงความรู้สึกของคนทอผ้า การลงพื้นที่ครั้งนั้นทำ ให้ค้นพบเสน่ห์ของผ้าทอ ซึ่งแต่ละผืนก็มีลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สำคัญผ้าทอยังเป็นบันทึกวัฒนธรรมของยุคสมัยที่ แม่นยำที่สุด โดยแต่ละประเทศจะมีตำนานเกี่ยวกับผ้าทอแตกต่างกันไป ผมลงทุนศึกษาข้อมูลและเอกสารประวัติศาสตร์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผ้าทอของเอเชีย เพื่อเก็บไว้เป็นวัตถุดิบสำหรับ เขียนนิยายซีรีส์เรื่องผ้าทอ ส่วนเรื่องต่อมาที่ผมเขียนคือ “รอยไหม” ก็ได้แรงบันดาลใจจากการเดินทาง ไปทำงานที่หลวงพระบาง ทำให้ได้พูดคุยกับช่างทอผ้าเก่าแก่ของลาว และมีโอกาสชมผ้าทอโบราณผืนพิเศษ ซึ่งสั่งทอให้เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายของลาว เพื่อใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษก แต่ก็ต้องเก็บเข้ากรุอย่างถาวร เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองซะก่อน ขณะที่นิยายเรื่องใหม่ “กี่เพ้า” ผมเก็บความประทับใจจากการชมนิทรรศการแฟชั่นเสื้อผ้านานาชาติ จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ The Met ที่นิวยอร์ก ระหว่างเดินทางไปศึกษาต่อด้านคอมมิวนิเคชั่น แมดิซีน ที่สหรัฐอเมริกา โดยช่วงนั้นมีการนำชุดกี่เพ้าของบุคคลสำคัญๆของจีนมาจัดแสดง ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก

ในอนาคตยังจะมีผลงานเกี่ยวกับผ้าทอให้แฟนๆ ได้ติดตามไหมคะ

(หัวเราะ) ผมเตรียมข้อมูลไว้เยอะครับ โดยเรื่องล่าสุดที่กำลังวางแผงคือ “สิเน่หาส่าหรี” ได้แรงบันดาลใจจากพิพิธภัณฑ์ The Met ระหว่างที่ชมนิทรรศการเกี่ยวกับชุดส่าหรีของอินเดีย ทำให้ได้รู้ว่า ชุดส่าหรีของอินเดียมีเสน่ห์และตำนานแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ แต่ละชุดก็สามารถบ่งบอกถึงพื้นเพที่มาและประวัติศาสตร์ของผ้าทอที่แตกต่างกัน ส่วนเรื่องใหม่ที่กำลังเขียน และทยอยตีพิมพ์ลงในสกุลไทยคือ “เล่ห์ลุนตยา” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าซิ่นของพม่า ซึ่งมีตำนานน่าสนใจไม่แพ้ผ้าทอของชาติอื่นๆ อนาคตอันใกล้ ผมเตรียมเดินทางไปเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับผ้ากิโมโน ซึ่งคงต้องหาข้อมูลลึกมาก และ
ใช้ เวลาศึกษาเยอะ

คุณหมอลุกขึ้นจับปากกาเขียนนิยายได้อย่างไร

ผมเป็นลูกคนเดียวครับ พ่อเป็นทหาร และแม่เป็นครู ทำให้ชอบจินตนาการ และด้วยความที่อ่านหนังสือเยอะ จึงฝันอยากเป็นนักเขียน ผมเริ่มจับปากกาตั้งแต่เด็กๆ โดยแต่งนิทานและเรื่องสั้น ส่งไปตามนิตยสารเด็กต่างๆเพื่อคัดเลือกไปตีพิมพ์ เช่น ชัยพฤกษ์, สตรีสาร และสาวิตรี กระทั่งมาเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ทำให้มีเวลาน้อยลง จึงหยุดงานเขียนไปโดยปริยาย และเริ่มกลับมาเขียนหนังสือเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้ง ตอนเดินทางไปศึกษาต่อด้านคอมมิวนิเคชั่น แมดิซีน ที่สหรัฐอเมริกา เพราะอยู่ที่โน่นเงียบเหงามาก หลังเลิกเรียนก็ไม่รู้จะทำอะไร จึงเริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกในชีวิตตอนอายุ 31 ปี ทั้งๆที่ใฝ่ฝันอยากเขียนมานาน มีชื่อเรื่องว่า “เบื้องบรรพ์” ใช้เวลาเขียน 6 เดือนเต็ม โดยได้แรงบันดาลใจจากตำนานเล่าขานของชาวบ้านหนองหาน จังหวัดสกลนคร ระหว่างออกค่ายแพทย์อาสา ตอนเขียนเสร็จใหม่ๆก็ส่งให้คุณแม่ช่วยอ่าน ท่านเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ จังหวัด ราชบุรี คุณแม่บอกว่าสนุกดี ท่านมีลูกศิษย์ทำงานอยู่ที่สตรีสาร น่าจะลองส่งผลงานเข้าประกวด ปรากฏว่าผมได้รับรางวัลชมเชย ประเภทนวนิยายจากมูลนิธิสุภาว์ เทวกุล ซึ่งเป็นอะไรที่ภูมิใจมาก พอเขียนนิยายเรื่องแรกจบ ก็ลุยเรื่องสองต่อทันที เป็นเรื่องเบาๆเกี่ยวกับนักสืบ โดยมีตัวเอกเป็นหมอและแมวแสนรู้ ชื่อว่า “ทะเลราตรี” จากนั้นก็เขียนนวนิยายมาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว มีผลงานประมาณ 35 เล่ม






ถามจริงๆนะคะ คุณหมอชอบเขียนเรื่องผีๆ แล้วชีวิตจริงเคยเจอผีไหมคะ

ไม่เคยเจอครับ (หัวเราะ) และเป็นคนค่อนข้างกลัวผีด้วยซ้ำ แต่ผมอาศัยจินตนาการ ผสมผสานกับเรื่องราวที่ได้ฟังมาซะมากกว่า คนรอบตัวไปเจออะไรแปลกๆก็จะมาเล่าอยู่เรื่อย เพราะรู้ว่าเราเป็นนักเขียนนิยาย ส่วนใหญ่คนจะรู้จัก “พงศกร” จากแนวลึกลับ เหนือจริง แต่ชีวิตจริงของผมไม่ค่อยผจญภัยเท่าไหร่ เรียนจบมาก็ทำงาน เพียงแต่งานของผมเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพกายและใจของคนไข้หลังรับการรักษา ทำให้มีโอกาสพบเห็นผู้คนหลากหลาย

ตั้งแต่เขียนนิยายมา รู้สึกรักตัวละครตัวไหนมากที่สุด

ผมรักนางเอกของเรื่อง “ฤดูดาว” ซึ่งเป็นหญิงสาวที่เติบโตมาในครอบครัวร่ำรวย แต่ยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง ผมได้แรงบันดาลใจจากบุคคลที่มีอยู่จริง คือ “ม.ร.ว.สมานสนิท สวัสดิวัตน์” ซึ่งเป็นนักอนุรักษ์ตัวอย่างของเมืองไทย

ช่วงเวลาไหนที่ไอเดียบรรเจิดเหมาะแก่ การเขียนนิยายที่สุด

ตอนกลางคืนครับ ผมเป็นคนสมาธิสั้น ถ้ามีเสียงอะไรรบกวน จะทำงานไม่ได้เลย ต้องบรรยากาศเงียบๆ ถึงจะคิดออก ยิ่งถ้าเขียนเรื่องผีๆ แล้วมีเสียงหมาหอน อันนี้สมองแล่นมาก (หัวเราะ)

คุณหมอมีนักเขียนในดวงใจไหมคะ

ผมชื่นชอบ “คุณจินตวีร์ วิวัธน์” ซึ่งเป็นนามปากกาของ “คุณจินตนา ปิ่นเฉลียว” ท่านเป็นราชินีเรื่องลึกลับของเมืองไทย และเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว นิยายของท่านมีเสน่ห์ชวนติดตาม ทั้ง ตื่นเต้น และลึกลับ ทำให้ต้องลุ้นตลอด





สำหรับนักเขียนมือใหม่ อยากจับปากกา เขียนนิยาย ควรเ

3/15/2557

น้ำมนต์ อยู่สกุล บรรณาธิการนิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ และนิตยสารกรรมทันตา

น้ำมนต์ อยู่สกุล
น้ำมนต์ อยู่สกุล
น้ำมนต์ อยู่สกุล ชื่อนี้อาจจะไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่หากเป็นคอนิตยสารแนวผี และแนวเวรกรรมแล้วล่ะก็ น่าจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเขาคือ เจ้าของนิตยสาร “เรื่องผี”

นิตยสารรายปักษ์สำหรับคนไม่กลัวผี ซึ่งมีเรื่องผีต่างๆ ออกมาหลอกหลอนผู้อ่านมากกว่า ๒ ทศวรรษ และเจ้าของนิตยสาร “กรรมทันตา” นิตยสารรายปักษ์ที่นำเสนอเรื่องของเวรกรรม โดยไม่ต้องรอชาติหน้า ทั้งนี้ ได้นำเสนอหลากหลายเรื่องกรรมมาเกือบ ๑ ทศวรรษ

และใครเลยจะรู้ว่า คนทำหนังสือผีในวันนี้ เคยเป็นบรรณาธิการทำนิตยสาร วัยหวาน ในช่วง พ.ศ.๒๕๒๗-๒๕๓๗ นิตยสารวัยรุ่น ที่ขายดีที่สุดในยุคนั้น

“น้ำมนต์เป็นชื่อตั้งแต่แรกเกิดของผม แต่เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ ผมมีพี่น้อง ๓ คน พี่สาวคนโตชื่อน้ำทิพย์ พี่ชายชื่อน้ำเพชร และตัวผมเองชื่อน้ำมนต์ ไม่ใช่เพราะว่ามาทำหนังสือที่เกี่ยวกับผีแล้วมาเปลี่ยนชื่อภายหลัง ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมาเป็นเจ้าของหนังสือผี คิดดูสิว่า คนทำข่าวกีฬา คนทำนิตยสารวัยรุ่น ทำเท่าไรก็ไม่รุ่ง ทำเท่าไรก็ไม่ได้กำไร แต่อยู่ๆ ได้มาเป็นเจ้าของนิตยสารผี สงสัยว่าผีกับน้ำมนต์เป็นของคู่กัน ยิ่งทำยิ่งรุ่ง และทำให้นิตยสารผียืนหยัดได้มากกว่า ๒๐ ปีแล้ว" นี่คือคำบอกเล่าถึงที่มาของชื่อของนายน้ำมนต์

พร้อมกันนี้นายน้ำมนต์เล่าให้ฟังว่า แรกเริ่มของการทำนิตยสารผี มีหนี้สินอยู่ประมาณ ๕ ล้านบาท บ้านและที่ดินติดธนาคาร ส่วนรถติดไฟแนนซ์ และคิดอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งคงไม่มีที่ซุกหัวนอน เพราะนิตยสารผีในช่วงแรกอย่างดีสุดก็ได้กำไรไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาทต่อปักษ์ แต่ในช่วงท้ายของปีที่ ๔ ขึ้นปีที่ ๕ นิตยสารผีออกอาละวาดแผงหนังสือทุกแผงอย่างหนัก จากยอดพิมพ์อยู่ในหลักพันขยับขึ้นไปอยู่ในหลักครึ่งแสนเล่มต่อปักษ์ และทรงตัวอยู่ประมาณ ๔ ปี ในที่สุดหนี้ที่เป็นอยู่เกือบ ๕ ล้านบาท ผีก็ช่วยปลดหนี้ทั้งหมด ขณะเดียวกันผียังช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นมาถึงทุกวันนี้ แม้ว่ายอดพิมพ์นิตยสารผีจะอยู่ในหลักหมื่นเศษๆ ก็ตาม

กว่า ๒ ทศวรรษของการทำหนังสือผี นายน้ำมนต์ยอมรับว่า แม้จะขึ้นหัวนิตยสารว่า เป็นนิตยสารสำหรับคนไม่กลัวผี แต่โดยส่วนตัวเป็นคนกลัวผี ถึงจะไม่เคยประสบด้วยตัวเอง แต่ก็กลัวผี และก็เชื่อด้วยว่า ผีมีจริง

ผี ในคติความเชื่อของคนไทย แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ คือ ผีดี และ ผีร้าย

ผีดี คือบรรพบุรุษที่คอยคุ้มครองดูแล แต่ถ้าไม่เคารพไม่บูชา ไม่เซ่นสรวง ก็อาจให้โทษได้เช่นกัน เช่น ผีบ้าน ผีเรือน ส่วนผีร้าย คือ ผีที่คอยรังควาน ไม่มีประโยชน์ เช่น ผีปอบ แม้ปัจจุบันนี้ ความเชื่อเรื่องผีจะเลือนหายไปบ้างแล้ว แต่ก็มีผู้คนส่วนมากที่เชื่อในเรื่องผี และสิ่งลี้ลับ แม้ในประเทศที่เจริญแล้วก็ตาม

การปรากฏกาย และที่มาของผีได้ในหลายลักษณะ แต่ส่วนมากมักจะปรากฏในรูปของอดีตมนุษย์ หรือมีลักษณะบางส่วนที่ค่อนข้างคล้ายกับมนุษย์ ผู้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ มักมีความกลัวที่ฝังใจ และเชื่อว่า การที่เจอผีนี้ จำเป็นที่จะต้องทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อความสบายใจ หร

3/11/2557

หนังสือผี คู่มือบำบัดความกลัว ใช้อ่านเพื่อบันเทิง

หนังสือผี
หนังสือผี
หนังสือผี คู่มือบำบัดความกลัว ใช้อ่านเพื่อบันเทิง

หนังสือผีได้พัฒนาการมาตั้งแต่ยุคแรกของการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร จากอดีตถึงปัจจุบัน หนังสือผีได้รับการผลิตออกสู่โลกหนังสืออย่างต่อเนื่อง อาจกล่าวได้ว่าในทุกประเทศมีหนังสือผีวางขายตามแผงหนังสือ แน่นอนว่านักอ่านให้การตอบรับหนังสือผีอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่นั้นหนังสือผีจะมีมีอายุยืนยาวถึงทุกวันนี้ได้อยาก ดังนั้นเราจึงต้องค้นหาแง่มุมบางอย่างของหนังสือผี เพื่อจะได้รู้จักหนังสือผีมากขึ้น

หากกล่าวว่า ความกลัวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความกลัวแทรกซึมอยู่ในพันธุกรรมของมนุษย์ และความกลัวเกิดขึ้นมาพร้อมสังคมของมนุษย์ ล้วนเป็นคำกล่าวที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากถ้าจะกำจัดความกลัวให้หมดไปจากโลกนี้ วิธีดีที่สุดคือมนุษย์ต้องเรียนรู้แนวทางเพื่ออยู่ร่วมกับความกลัว และความกลัวของมนุษย์มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องของภูตผีปิศาจอันเป็นตัวแทนของความลี้ลับดำมืด ที่มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาต่างแสดงพฤติกรรมต่ออมนุษย์เหล่านี้ในทิศทางเดียวกันคือกลัว...และกลัว

เมื่อผีเป็นต้นเหตุหลักๆของความกลัว หนังสือผีจึงเป็นเหมือนคู่มือสามัญประจำตัวสำคัญของมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ต้องการแสวงหาความท้าทายในโลกของผีและวิญญาณ แน่นอนว่าเราไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับผีหรือวิญญาณ ความรู้ต่างๆที่ได้จากหนังสือผีจึงเป็นสมมุติฐานทางจินตนาการของผู้เขียนหนังสือผีเล่มนั้นๆ เมื่อความรู้เรื่องผีไม่อาจสรุปเป็นทฤษฎีได้ ทำให้เรื่องผีเป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนมากมายเข้ามาค้นหาร่วมกัน เพื่อไขปริศนาสิ่งลี้ลับดำมืดเกี่ยวกับผีและวิญญาณ เหตุผลนี้ส่งผลให้หนังสือผีถูกผลิตออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

ในตลาดบ้านเรามีหนังสือผีมากมายอยู่ในรูปของ นิตยสารผี หนังสือผี สารคดีผี และวรรณกรรมผี เป็นต้น หนังสือเหล่านี้สร้างสรรค์จากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณ ทั้งประสบการณ์ตรงและเกิดจากการศึกษาค้นคว้า เพราะหากผู้เขียนไร้ความรู้เรื่องผีและวิญญาณก็ไม่อาจผลิตหนังสือผีสนองตอบความอยากรู้อยากเห็นของผู้อ่านได้ เนื่องจากหนังสือผีที่ดีต้องพาผู้อ่านเข้าไปในดินแดนแห่งความกลัวที่ผู้อ่านไม่กล้าย่างกลายเข้าใกล้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้เขียนต้องโน้มน้าวและชักจูงให้ผู้อ่านกล้าบุกฝ่าเข้าไปเผชิญกับอาณาจักรความกลัวด้วยเหตุและผล

เมื่อคนทุกชาติทุกภาษามีจินตนาการเกี่ยวกับผีในรูปแบบเดียวกันคือ ผีเป็นตัวแทนของความกลัวและความลี้ลับดำมืด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ตรงกับคำกล่าวที่ว่า ความไม่รู้เป็นต้นเหตุของความกลัว ยกตัวอย่างเราไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในความมืดเพราะเรามองไม่เห็น ทำให้เรากลัวความมืด เช่นเดียวกับคนที่กลัวแม่น้ำใหญ่ไม่กล้าว่ายเล่น เพราะกลัวจะโดนสิ่งที่มองไม่เห็นฉุดขา เนื่องจากว่าเราไม่รู้ภูมิทัศน์ใต้ผิวน้ำ เหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาจะไม่เกิดขึ้น หากเรารู้ความจริงเกี่ยวกับความมืดและลักษณะของภูมิทัศน์ใต้น้ำ เช่นเดียวกันหากเรารู้อะไรเกี่ยวกับผีและวิญญ

3/10/2557

นิตยสาร108โลกแปลก รายเดือน หาซื้อได้ทุกแผงหนังสือทั่วประเทศ

หากเจ้าของแผงหนังสืออยากได้นิตยสาร108โลกแปลกไว้ประดับแผง
หรือนักอ่านเรื่องแนวผีอยากสัมผัสความหลอนของนิตยสาร108โลกแปลก
กรุณาติดต่อเจ้าของนิตยสาร108โลกแปลกโดยตรง
นิตยสาร108โลกแปลก
นิตยสาร108โลกแปลก

นิตยสาร108โลกแปลกเป็นหนังสือสารคดีเชิงข่าวที่มีผู้อ่านซื้อหามากที่สุด

นิตยสาร108โลกแปลกเป็นหนังสือผีรวบรวมเรื่องราวพิศดารที่มีอยู่ทั่วโลก มาไว้ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของนักอ่าน ผู้ชื่นชอบความแปลกใหม่ในชีวิต ถ้าไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องราวเหลือเชื่ออยู่ในโลกนี้จริงๆ ก็ต้องไม่พลาดที่จะหาซื้อนิตยสาร108โลกแปลกมาเพื่อตอบคำถามนั้น เนื่องเพราะในโลกนี้มิใช่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะเป็นคำตอบที่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด ดังนั้นนิตยสาร108โลกแปลกจึงพยายามหาข้อมูลมาพิสูจน์ตามความเชื่อดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ นิตยสาร108โลกแปลกจึงเหมาะสำหรับนักอ่านที่ชอบค้นคว้าตามล่าหาความจริง ไม่ยอมให้มีอะไรค้างคาใจ นอกจากนี้นิตยสาร108โลกแปลกยังมีเรื่องราวหลากหลาย เหมาะสำหรับนักอ่านร่วมสมัยทุกเพศทุกวัย

รายชื่อนิตยสารที่น่าสนใจ

3/06/2557

นิยายผี/นิยายสยองขวัญ สุนทรียภาพแห่งความกลัวในโลกหนังสือ

นิยายผี นิยายสยองขวัญ
นิยายผี นิยายสยองขวัญ
นิยายผี/นิยายสยองขวัญ สุนทรียภาพแห่งความกลัวในโลกหนังสือ

นิยายผี/นิยายสยองขวัญ (Gothic Novel) แม้จะมีความสยองขวัญซ่อนอยู่ในเนื้อเรื่อง แต่ในความน่ากลัวนั้นมีความงามของภาษาและเสน่ห์ทางด้านศิลปะแอบแฝงอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับคนอ่านแต่ละบุคคลว่าจะสามารถทำความเข้าใจและเข้าถึงนิยายผีเพียงใด แน่นอนว่าประสบการณ์เป็นสิ่งเดียวที่นักอ่านนิยายผีต้องบ่มเพาะเอาไว้ เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวเอาองค์ความรู้ในนิยายผีมาตอบสนองในชีวิตประจำวัน

หนังสือศัพท์วรรณกรรม เขียนโดย กอบกุล อิงคุทานนท์ อธิบายว่า... “นิยายผี/นิยายสยองขวัญ (Gothic Novel) เป็นนิยายประเภทหนึ่งซึ่งเฟื่องฟูในปลายศตวรรษที่ 18-19 ลักษณะสำคัญของนิยายประเภทนี้จะมีความลี้ลับเวทมนต์และความกล้าหาญเยี่ยงอัศวิน โดยมีความน่ากลัวสยองขวัญอบอวลอยู่ เช่นการฟื้นคืนชีพของอัศวินเสื้อเกราะ หรือเต็มไปด้วยเรื่องผีสาง ปรากฏการณ์ลึกลับเก่าแก่น่ากลัวชวนเขย่าขวัญ เป็นต้น ฮอเรส วอลโพล (Horace Walpole) ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดนิยายผีในเรื่อง Castle of Otranto (1764) ฉากของนิยายเรื่องนี้เป็นปราสาทในยุคกลางซึ่งมีทางใต้ดิน ประตูกล บันไดเวียน และห้องลับซึ่งประตูสามารถเปิดเองได้อย่างไม่คาดฝัน และต่อมาก็มีผู้เขียนนิยายผีสืบต่อกันมา ที่โด่งดังคุ้นหูคนไทยก็คือ แฟรงเกนสไตน์ ของแมรี่ เชลลี่ เป็นต้น นิยายผีได้แพร่ไปทั่วในยุโรปโดยเฉพาะเป็นที่นิยมกันมากในเยอรมนี นอกจากนี้นิยายผียังมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมรูปแบบอื่นด้วน เช่น กวีนิพนธ์ยุคโรแมนติกและเรื่องสั้น เช่น งานของเอ็ดการ์ แอลเลนโพ เป็นต้น ปัจจุบันนิยายผีก็ยังใช้เรียกงานที่สร้างบรรยากาศให้ลึกลับเขย่าขวัญซึ่งแม้จะไม่มีฉากเหมือนบรรยากาศยุคกลางแบบสมัยก่อนก็ได้ เช่นเรื่อง รีเบ็คก้า ของ มอริเอร์ เป็นต้น บางคนได้จัดนิยายผีอยู่ในประเภทย่อยของนิยายประวัติศาสตร์”

นิยายผี/นิยายสยองขวัญให้ความรู้และความเข้าใจในชีวิตได้หลายแง่หลายมุมอย่างลึกซึ่งไม่แพ้นิยายประเภทอื่น โดยเฉพาะนิยายผีที่บรรจงสร้างสรรค์ขึ้นจากนักเขียนผีฝีมือขั้นเทพ เห็นได้จากนิยายผีที่เป็นอมตะมีผู้นิยมอ่านจากอดีตถึงปัจจุบัน นิยายผีเหล่านั้นไม่เพียงให้ความบันเทิงอย่างเดียว แต่ได้ซ่อนความสุนทรีย์แห่งความงามด้านภาษาและศิลปะเอาไว้ จึงทำให้ผลงานเป็นอมตะมาถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม นิยายผีในปัจจุบันก็ให้คุณค่าแก่สังคมอยู่หลายด้านด้วยกัน หากศึกษานิยายผีอย่างจริงจังก็จะเห็นองค์ความรู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมแตกต่างกับองค์ความรู้ประเภทอื่นแน่นอน

หากย้อนไปดูเรื่องราวของภูตผีปิศาจอันเป็นรากเหง้าของนิยายผี ทุกชาติทุกภาษามีเรื่องเล่าประเภทนี้อยู่คู่ชุมชนเสมอ สิ่งนี้บ่งบอกได้ว่า ภูตผีปิศาจมีความเป็นสากลที่ทุกประเทศในโลกแสดงออกตรงกัน เห็นได้จากเรื่องภูตผีปิศาจที่ถ่ายทอดข้ามวัฒนธรรมในรูปแบบนิยายผีหรือภาพยนตร์สยองขวัญ ไม่ว่าผลิตในประเทศไทยหรือนำเข้าจากต่างด้าวมีการนำเสนอในรูปแบบใกล้เคียงกันคือ มีความน่ากลัวซ่อนอยู่ในเรื่องเล่าทั้งหน้ากระดาษและแผ่นฟิล์ม

ความเป็นสากลของนิยายผี/นิยายสยองขวัญ ทำให้วิเคราะห์สังคมมนุษย์ได้หลายแง่มุม เพราะทั้งที่สังคมที่มีภาษาและวัฒนธรรมแตกต่างกันแต่แสดงออกเรื่องภูตผีปิศาจคล้ายกัน ผู้ผลิตนิยายผีและภาพยนตร์สยองขวัญจึงนำเอาจุดนี้มาสร้างผลงานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คน นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง นิยายผีหลายเล่มแม้จะถูกสร้างมาจากซีกโลกหนึ่งแต่ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั่วโลก สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้ถึงศิลปะความเป็นสากลของนิยายผีที่ทุกคนบนโลกเข้าถึงได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

นิยายผีแทบทุกเรื่องใช้ความกลัวเป็นอุปกรณ์สำคัญในการเล่าเรื่อง แน่นอนว่าความกลัวมีผลต่อร่างกายหลายอย่าง ด้านนักจิตวิเคราะห์ได้อธิบายว่า ร่างกายจะหลั่งสารเคมีชนิดหนึ่งออกมาในขณะที่เกิดความกลัว สารเคมีที่ว่าชื่อ อะดรีนาลิน (Adrenalin) อันเป็นฮอร์โมนในร่างกายทำให้ตับอ่อนผลิตน้ำตาลในเลือดมากขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อไหวตัวต่อกระแสสัญญาณประสาท แน่นอนว่าผู้ได้รับอะดรีนาลินย่อมมีผลทั้งในแง่บวกและลบ หากได้รับมากเกินไปจะทำให้แขนขาสั่นสะท้าน หัวใจเต้นแรง และเลือดที่เลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายจะไหลกลับไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนนั้น ทำให้สมองขาดเลือดถึงขั้นเป็นลมหมดสติ ในทางกลับกันหากได้รับสารอะดรีนาลินในจุดที่สมดุลก็จะทำให้ร่างกายสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดีขึ้น แน่นอนว่าความกลัวจากนิยายผีก็สร้างฮอร์โมนชนิดนี้ได้เหมือนกัน เห็นได้จากบรรยากาศชวนขนลุกในนิยายผีที่ทำให้คนอ่านขนลุกซู่ตามไปด้วย อาการลักษณะนี้เรียกว่า สารอะดรีนาลินกำลังทำงาน เมื่อผ่านไปสักครู่จะทำให้ร่างกายเบาโหวงและผ่อนคลายไปทั่วร่างกาย อาการเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกับการถึงจุดสุดยอดในระหว่างมีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ตามนิยายผีในสังคมไทยไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์เท่าไหร่ เพราะอคติในหลายเรื่อง จึงทำให้นิยายผีถูกจัดเป็นหนังสือชั้นสอง นักวิจารณ์ไม่ได้หยิบยกองค์ความรู้ในนิยายผีมาตีแผ่แก่นักอ่าน มิหนำซ้ำยังแสดงความเห็นไปในทางตำหนิ อย่างไรก็ตาม นิยายผีหลายเล่มได้พิสูจน์ตัวเองถึงความโดดเด่น เห็นได้จากนิยายผีหลายเล่มจากนักเขียนผีหลายคนได้รับการกล่าวถึงปากต่อปากเสมอ อาจกล่าวได้ว่า บรรณาพิภพไทยไม่เคยว่างเว้นจากนิยายผี และเป็นที่น่ายินดีว่าในนิตยสารชั้นนำหลายฉบับในเมืองไทยก็ยังคงมีนิยายผีเพื่อเป็นทางเลือกกับนักอ่าน

นิยายผี/นิยายสยองขวัญถือเป็นงานประพันธ์แขนงหนึ่งที่มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ นักอ่านใดที่สามารถเข้าถึงเรื่องราวที่นักเขียนถ่ายทอดไว้ในงานประพันธ์ ก็จะได้รับรสชาติที่เกิดพร้อมกับความปิติสูงสุดในระหว่างการอ่านนิยายผี ตามทฤษฎีรสในวิชาอลังการศาสตร์ของอินเดีย นิยายผีจะมีสุนทรีย์หรือความงามหรือไม่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ทางด้านภาษาของนักอ่าน แน่นอนว่านักอ่านต้องมีหน้าที่ตีความหมายของเรื่องราวในนิยายผีด้วยตัวเอง

นักอ่านที่ต้องการเข้าถึงนิยายผีอย่างลึกซึ้งควรศึกษาทฤษฎีรสในวิชาอลังการศาสตร์ของอินเดียไว้เป็นเบื้องต้นดังนี้

1. คฤงคารรส คือความซาบซึ้งในความรัก เป็นอารมณ์ตอบสนองภาวะรัก
2. หาสยรส คือความสนุกสนาน เป็นอารมณ์ตอบสนองภาวะขบขัน
3. กรุณารส คือความสงสาร เป็นอารมณ์ตอบสนองภาวะทุกข์โศก
4. เราทรรส คือความแค้นเคือง เป็นอารมณ์ตอบสนองภาวะโกรธ
5. วีรรส คือความชื่นชมในความกล้าหาญ เป็นอารมณ์ตอบสนองภาวะตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว
6. ภยานกรส คือความเกรงกลัว เป็นอารมณ์ตอบสนองภาวะกลัว
7. พีภัตสรส คือความชิงชัง เป็นอารมณ์ตอบสนองภาวะน่ารังเกียจ
8. อัทภูตรส คือความอัศจรรย์ใจ เป็นอา

3/02/2557

ภูตสาวโคลนนิ่ง เขียนโดย ทิดนำ

ภูตสาวโคลนนิ่ง เขียนโดย ทิดนำ
ภูตสาวโคลนนิ่ง เขียนโดย ทิดนำ


ภูตสาวโคลนนิ่ง เขียนโดย ทิดนำ

นิยายเรื่อง ภูตสาวโคลนนิ่ง เขียนโดย ทิดนำ ได้พิสูจน์คำกล่าวที่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของจินตนิยาย และนับเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญที่ได้รับการตอบรับจากนักอ่านพอสมควร ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นเพราะ ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ต่างจากนิยายเล่มอื่น ดังนั้นนักอ่านที่กำลังมองความแปลกใหม่ และชอบอะไรที่ท้าทายจินตนาการของตนเอง จึงขอแนะนำนิยายสยองขวัญเรื่อง ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ ได้นำอาความรักที่คนทุกเพศทุกวัยและทุกภาษาต่างเข้าใจและรู้ความหมายเป็นอย่างดี แต่ทุกคนก็ยังโหยหาและไม่เคยพอที่จะเติมเต็มความรักเข้าสู่ความรู้สึกของตนเอง ความรักถือเป็นความรู้สึกสากลที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนในดาวเคราะห์สีฟ้า ดังนั้นความรักจึงเป็นเหมือนฟันเฟืองขับเคลื่อนโลกของเราให้หมุนตลอดเวลา และความรักก็ไม่จำกัดอยู่เพียงคนกับคนเท่านั้น ในนิยายเรื่อง ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ ตอกย้ำความหมายของคำว่า “รัก” ในรูปแบบใหม่ที่นักอ่านไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

หากมองในแง่ความเป็นนิยายของ ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ ถือว่าทำได้ลงตัวทีเดียว ทั้งโครงเรื่องที่สร้างอย่างรัดกุม ดำเนินเรื่องอย่างเป็นระบบ และให้ความสำคัญกับตัวละครทุกฉาก สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนเขียนเป็นอย่างดี อีกอย่างหนึ่งที่ ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ ทำได้ดีก็คือบรรยากาศของเรื่อง เพราะสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของจินตนิยายแนวสยองขวัญก็คือ นักเขียนต้องพานักอ่านเข้าสู่ดินแดนแห่งจินตการให้ได้ แน่นอนว่า นักอ่านส่วนมากจะรู้ก่อนแล้วว่าจะพบอะไรในนิยายที่ตัวเองหยิบอ่าน แต่นักเขียนต้องไม่ผลักภาระนี้ให้นักอ่านคิดเอาเอง หรือจินตนาการเอาเองเพียงลำพัง ทั้งนี้ทั้งนั้น ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ จะไม่ปรากฏจุดด้อยในเรื่องนี้เลย

ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ เป็นเรื่องราวของความรักที่เกิดขึ้นระหว่างคนกับผี ถือเป็นจินตนิยายที่นักอ่านเรื่องสยองขวัญคงเคยผ่านตามาแล้วกับหนังสือเล่มอื่น เพราะนิยายสยองขวัญส่วนใหญ่ใช้โครงเรื่องลักษณะเดียวกันนี้เป็นตัวดำเนินเรื่องให้น่าติดตาม และภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ ก็เช่นเดียวกัน แต่ในความเหมือนก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง ในส่วนของการเล่าเรื่อง ที่นักเขียนไม่มีทางทำให้เหมือนกันได้ จุดนี้เองที่ทำให้นิยายของนักเขียนแต่ละคนมีความหลากหลาย ในส่วนของ ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ ถือเป็นจินตนิยายแนวสยองขวัญ ที่มีรูปแบบการเล่าเรื่องชวนให้ระทึก นักอ่านจะถูกกระตุ้นให้ติดตามตั้งแต่บทแรกไปจนถึงบรรทัดสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้ แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบหนังสือแบบนี้ ดังนั้น ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ จึงถูกกล่าวขวัญกันในแวดวงนักอ่านอย่างมาก

ภูตสาวโคลนนิ่ง ของ ทิดนำ ไม่ใช่หยิบเอาความรักมานำเสนอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น แต่ได้นำเสนอหลายแง่มุม ผ่านตัวละครหลากหลาย ทั้งในวงการตำรวจ วงการนักข่าว และอี